บรรจุภัณฑ์ใด คือทางเลือกที่ยั่งยืนกว่ากัน?

วันนี้พูนทองไฟเบอร์ นำความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเลือกบรรจุภัณฑ์มาฝากกันค่ะ

เมื่อพูดถึงการเลือกบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภค การเปรียบเทียบระหว่าง ขวดพลาสติก PET, กระป๋องโลหะ และ ขวดแก้ว มักจะเป็นที่ถกเถียงกันในประเด็นด้านความยั่งยืน แท้จริงแล้ว แต่ละวัสดุมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ดังต่อไปนี้ค่ะ

PET ตัวเลือกน้ำหนักเบาและประหยัดพลังงาน ⚡

ขวดพลาสติก PET มีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นในเรื่องของ น้ำหนักเบา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การที่บรรจุภัณฑ์มีน้ำหนักน้อยลงอย่างมากส่งผลให้การขนส่งใช้พลังงานเชื้อเพลิงน้อยลง ทั้งจากโรงงานผู้ผลิตไปยังโรงงานบรรจุ ไปยังจุดจำหน่าย และการขนส่งเพื่อรีไซเคิล ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล

นอกจากนี้ กระบวนการผลิต PET ยังใช้พลังงานน้อยกว่า การผลิตแก้วและโลหะอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำกว่ามาก การใช้น้ำในการผลิตก็น้อยกว่าเช่นกัน และยังสร้างขยะมูลฝอยในกระบวนการผลิตน้อยกว่าอีกด้วย PET สามารถรีไซเคิลได้ 100% และสามารถผลิตจากวัสดุรีไซเคิลได้ 100% แต่ในทางปฏิบัติ อัตราการรีไซเคิลจริงและกระบวนการ “ลดระดับการรีไซเคิล” (downcycling) ที่อาจเกิดขึ้นทำให้ยังไม่สามารถวนกลับมาใช้ซ้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่จำกัดครั้งเท่าบางวัสดุ และหากไม่ได้รับการจัดการขยะที่ดี ขวด PET ที่ไม่ได้รับการรีไซเคิลจะกลายเป็นขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม ซึ่งใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลาย

—————————————-

กระป๋องโลหะ แชมป์แห่งการรีไซเคิล 🏆

กระป๋องโลหะ โดยเฉพาะอะลูมิเนียม เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของ อัตราการรีไซเคิลที่สูงมาก และ ความสามารถในการรีไซเคิลแบบวนซ้ำ (closed-loop recycling) ได้ไม่จำกัดครั้ง โดยไม่สูญเสียคุณภาพ นี่คือจุดแข็งที่ทำให้กระป๋องโลหะมีความยั่งยืนสูงในแง่ของการหมุนเวียนทรัพยากร การรีไซเคิลอะลูมิเนียมใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตอะลูมิเนียมใหม่จากแร่บอกไซต์ถึง 95% ซึ่งเป็นการประหยัดพลังงานมหาศาล

อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตกระป๋องโลหะใหม่นั้นใช้พลังงานและทรัพยากรมากกว่า การผลิตขวด PET อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีรอยเท้าคาร์บอนที่สูงกว่าในช่วงเริ่มต้นของวงจรชีวิต นอกจากนี้ การทำเหมืองแร่และการผลิตโลหะยังอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ เช่น การทำลายถิ่นที่อยู่และมลพิษจากกระบวนการผลิต

—————————————-

ขวดแก้ว ความเฉื่อยทางเคมีและศักยภาพในการใช้ซ้ำ 🍾

ขวดแก้ว มีข้อดีที่โดดเด่นคือ ความเฉื่อยทางเคมีสูง ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มที่บรรจุ ทำให้รักษาคุณภาพ รสชาติ และกลิ่นของผลิตภัณฑ์ได้อย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญคือ สามารถรีไซเคิลได้ 100% และนำกลับมาหลอมใหม่ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เช่นเดียวกับโลหะ โดยไม่ลดทอนคุณภาพ นอกจากนี้ แก้วยังมีศักยภาพในการ นำกลับมาใช้ซ้ำ (reuse) ในระบบบรรจุภัณฑ์แบบหมุนเวียน (refillable/returnable systems) ซึ่งเป็นการลดการผลิตใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

แต่ข้อเสียที่สำคัญของขวดแก้วคือ น้ำหนักที่มากที่สุด เมื่อเทียบกับ PET และกระป๋องโลหะ น้ำหนักที่มากนี้ส่งผลให้ การขนส่งใช้พลังงานเชื้อเพลิงสูงกว่ามาก และทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งที่สูงกว่า นอกจากนี้ การผลิตแก้วยังต้องใช้พลังงานสูงมาก เนื่องจากต้องใช้ความร้อนสูงในการหลอมวัตถุดิบ ซึ่งทำให้มีรอยเท้าคาร์บอนในช่วงการผลิตสูงตามไปด้วย

—————————————-

สรุป ไม่มีผู้ชนะคนเดียว แต่มีทางเลือกที่ชาญฉลาด 🧠

การตัดสินว่าบรรจุภัณฑ์ใด “ยั่งยืนที่สุด” เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

PET ได้เปรียบในด้านน้ำหนักเบา การใช้พลังงานในการผลิตน้อย และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต่ำกว่าในการผลิตและการขนส่ง แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านอัตราการรีไซเคิลที่ต่ำและการใช้ทรัพยากรปิโตรเคมี

กระป๋องโลหะ เป็นแชมป์ด้านการรีไซเคิลแบบวนซ้ำไม่จำกัดครั้ง ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานมหาศาลในการรีไซเคิล แต่การผลิตใหม่ใช้พลังงานค่อนข้างสูง

ขวดแก้ว โดดเด่นในด้านความเฉื่อยทางเคมีและศักยภาพในการใช้ซ้ำ/รีไซเคิลแบบวนซ้ำ แต่มีจุดอ่อนในเรื่องน้ำหนักที่มากและการใช้พลังงานสูงในการผลิตและการขนส่ง

กุญแจสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การเลือกบรรจุภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพิจารณาระบบวงจรชีวิตทั้งหมด บริบทของผลิตภัณฑ์ ระบบการจัดการขยะในท้องถิ่น และการส่งเสริมพฤติกรรมที่ยั่งยืนนั่นเองค่ะ 💚